วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

นายทองดีฟันขาว

พระยาพิชัยดาบหัก
ทหารเอกคู่พระทัยแห่ง องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ชาติภูมิ

พระยาพิชัยดาบหัก เดิมชื่อ จ้อย เกิดในปี พ.ศ. ๒๒๘๔ ที่บ้านห้วยคา เมืองพิชัย จ.อุตรดิตถ์ มีพี่น้อง ๔ คน แต่เสียชีวิตไป ๓ คน บิดามารดาไม่ปรากฏนาม

วัยเยาว์
เด็กชายจ้อยมีนิสัยชอบชกมวยมาตั้งแต่เยาว์วัย บิดาได้พร่ำสอนเสมอ ถ้าจะ ชกมวยให้เก่งต้องขยันเรียนหนังสือด้วย เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี บิดานำไปฝากกับท่านพระครูวัดมหาธาตุ เมืองพิชัย จ้อยสามารถอ่านออกเขียนได้จนแตกฉานเพราะเป็นคนขยันและเอาใจใส่ในตำราเรียนคอยรับใช้อาจารย์ และซ้อมมวย ไปด้วย ทั้งหมัด เข่า ศอก และสามารถแตะได้สูงถึง ๔ ศอก ในขณะที่เป็นเด็กวัดนั้นเขามักจะถูกกลั่นแกล้งจากเด็กที่โตกว่าเสมอ แต่ในระยะหลังเขาก็สามารถปราบเด็กวัดได้ทุกคนด้วยชั้นเชิงมวย
ต่อมาเจ้าเมืองพิชัยได้นำบุตร (ชื่อเฉิด) มาฝากที่วัดเพื่อร่ำเรียนวิชา เฉิดกับพวกมักหาทางทะเลาะวิวาทกับจ้อยเสมอ เขาจึงตัดสินใจหนีออกจาดวัดขึ้นไปทางเหนือโดยมิได้บอกพ่อแม่และอาจารย์ เดินตามลำน้ำน่านไปเรื่อยๆ เมื่อเหนื่อยก็หยุดพักตามวัด ที่วัดบ้านแก่ง จ้อย ได้พบกับครูฝึกมวยคนหนึ่งชื่อ เที่ยง จึงฝากตัวเป็นศิษย์แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี ครูเที่ยงรักนายทองดีมากและมักเรียกนายทองดีว่านายทองดี ฟันขาว ด้วยความสุภาพเรียบร้อย และขยันขันแข็งเอาใจใส่การฝึกมวยช่วยการงานบ้านครูเที่ยงด้วยดีเสมอมา ทำให้ลูกหลานครูเที่ยงอิจฉานายทองดีมากหาทางกลั่นแกล้งต่างๆ นานา นายทองดี ฟันขาว เห็นว่าอยู่บ้านแก่งต่อไปคงลำบาก ประกอบ ครูเที่ยงก็ถ่ายทอดวิชามวยให้จบหมดสิ้นแล้วจึงกราบลาครูขึ้นเหนือต่อไป

ชื่อเสียงเลื่องลือ
เมื่อเดินถึงบางโพได้เข้าพักที่วัดวังเตาหม้อ (ปัจจุบันคือวัดท่าถนน) พอดีกับมีการแสดงงิ้ว จึงอยู่ดูอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน นายทองดี ฟันขาว สนใจงิ้วแสดง ท่าทางหกคะเมน จึงจดจำไปฝึกหัดไปฝึกหัดจนจดจำท่างิ้วได้ทั้งหมดสามารถกระโดดข้ามศีรษะคนยืนได้อย่างสบายจากนั้นก็ลาพระสงฆ์วัดวังเตาหม้อขึ้น ไปท่าเสา ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ครูเมฆ ซึ่งมีชื่อเสียงในการสอนมวยมาก ครูเมฆรักนิสัยใจคอจึงถ่ายทอดวิชาการชกมวยให้จนหมดสิ้น ขณะนั้นนายทองดี ฟันขาว อายุได้ ๑๘ ปี ต่อมาได้มีโอกาสชกมวยในงานไหว้พระแท่นศิลาอาสน์ กับนายถึก ศิษย์เอกของครูนิล นายถึกไม่สามารถป้องกันได้ ถูกเตะสลบไปนาน ประมาณ ๑๐ นาที ครูนิลอับอายมากจึงท้าครูเมฆชกกัน นายทองดี ฟันขาว ได้กราบอ้อนวอนขอร้อง ขอชกแทนครูเมฆ และได้ตลุยเตะต่อยจนครูนิลฟันหลุดถึง ๔ ซี่ เลือดเต็มปากสลบอยู่เป็นเวลานาน ชื่อเสียงนายทองดี ฟันขาว กระฉ่อนไปทั่วเมืองทุ่งยั้ง ลับแล พิชัย และเมืองฝาง นายทองดีอยู่กับครูเมฆประมาณ ๒ ปี ก็ขอลาไปศึกษา การฟันดาบ ที่เมืองสวรรคโลก ด้วยความฉลาดมีไหวพริบ เขาใช้เวลาเพียง ๓ เดือน ก็เรียนฟันดาบสำเร็จเป็นที่พิศวงต่อครูผู้สอนยิ่งนัก หลังจากนั้น ก็ไปเที่ยวเมืองสุโขทัยและเมืองตากระหว่างทางได้รับศิษย์ไว้ ๑ คน ชื่อบุญเกิด ครั้งที่บุญเกิดถูกเสือคาบไปนั้น ทองดีได้ช่วยบุญเกิดไว้โดยการแทงมีดที่ปากเสือ จนเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว

                                   

รับราชการ ทหารเอกพระเจ้าตาก

พระยาพิชัยต่อสู้กับพม่าเมื่อครั้งศึกโปสุพลายกทัพมาตีเมืองพิชัยจนดาบคู่กายของท่านหัก


เมื่อท่านเดินทางถึงเมืองตาก ขณะนั้นได้มีพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดใหญ่เจ้าเมืองตาก (พระเจ้าตากสินมหาราช) จัดให้มีมวยฉลองด้วย นายทองดี ฟันขาว ดีใจมากเข้าไปเปรียบมวยกับครูห้าว ซึ่งเป็นครูมวยมือดีของเจ้าเมืองตาก และมีอิทธิพลมาก นายทองดี ฟันขาว ใช้ความว่องไวใช้หมัดศอก และเตะขากรรไกรจนครูห้าวสลบไปเจ้าเมืองตากจึงถามว่าสามารถชกนักมวยอื่นอีกได้หรือไม่ นายทองดี ฟันขาว บอกว่าสามารถชกได้อีก เจ้าเมืองตากจึงให้ชกกับครูหมึกครูมวยร่างสูงใหญ่ ผิวดำ นายทองดี เตะซ้ายเตะขวา บริเวณขากรรไกร จนครูหมึกล้มลงสลบไป
เจ้าเมืองตากพอใจมากให้เงิน ๓ ตำลึง และชักชวนให้อยู่ด้วย นายทองดี ฟันขาว จึงได้ถวายตัวเป็นทหารของเจ้าเมืองตาก (พระเจ้าตากสิน) ตั้งแต่ บัดนั้น รับใช้เป็นที่โปรดปรานมาก ได้รับยศเป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อเจ้าเมืองตากได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาชิรปราการครองเมืองกำแพงเพชร หลวงพิชัยอาสาได้ติดตามไปรับใช้อย่างไกล้ชิด และเป็นเวลาเดียวที่พม่ายกทัพล้อม กรุงศรีอยุธยา
พระยาวชิรปราการพร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสาและทหารหาญ ได้เข้าปะทะต่อสู้จนชนะ ได้ช้างม้าอาหารพอสมควร ได้เข้าสู้รบกับทัพพม่าหลายคราวจนได้รับชัยชนะพระเจ้าตากสินได้รับการต้อนรับจากประชาชนและยกย่องขึ้นเป็นผู้นำ เมื่อกอบกู้เอกราชได้แล้ว พระเจ้าตากสินขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงธนบุรีและได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ หลวงพิชัยอาสา เป็นเจ้าหมื่นไวยวรนาถ เป็นทหารเอกราชองครักษ์ในพระองค์

ความเป็นมาของชื่อ "พระยาพิชัยดาบหัก"
ในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ พม่าได้ยกทัพมาอีก ๑ หมื่นคน พระเจ้าตากพร้อมด้วยหมื่นไวยวรนาถได้เข้าโจมตีจนแตกพ่าย และได้มีการสู้รบปราบก๊กต่าง ๆ อีกหลายคราว เมื่อพระเจ้าตากสินเสด็จกลับกรุงธนบุรี โปรดตั้งเจ้าหมื่นไวยวรนาถเป็น "พระยาสีหราชเดโช" มีตำแหน่งเป็นายทหารเอกราชองครักษ์ตามเดิม สุดท้ายเมื่อปราบก๊กพระเจ้าฝางได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงปูนบำเหน็จความชอบให้ทหารของพระองค์โดยทั่วหน้า ส่วนพระยาสีหราชเดโช (จ้อย หรือ ทองดี ฟันขาว) นั้น ได้โปรดเกล้าฯ บำเหน็จความชอบให้เป็นพระยาพิชัยปกครองเมืองพิชัยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนแต่เยาว์วัย
ในปี พ.ศ. ๒๓๑๓-๒๓๑๖ได้เกิดการสู้รบกับกองทัพพม่าอีกหลายคราว และทุกคราวที่กองทัพพม่าแตกพ่ายไป ก็สร้างความอัปยศอดสูแก่แม่ทัพนายกองเป็นทวีคุณ พอสิ้นฤดูฝนปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๑๖ โปสุพลายกกองทัพมาหมายตีเมืองพิชัยอีก "การศึกครั้งนี้พระยาพิชัยจับดาบสองมือคาดด้าย ออกไล่ฟันแทงพม่าอย่างชุลมุน จนเมื่อพระยาพิชัยเสียการทรงตัว ก็ได้ใช้ดาบข้างขวาพยุงตัวไว้ จนดาบข้างขวาหักเป็นสองท่อน" กองทัพโปสุพลาก็แตกพ่ายกลับไป เมื่อวันอังคาร เดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๑๖ (ตรงกับวันที่ ๗ มกราคมพ.ศ. ๒๓๑๖

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นักรบทำลายจู่โจมใต้น้ำ

 รบพิเศษ คือการรบที่พลิกแพลงโดยใช้ยุทธวิธี มีการจู่โจมโดยมิให้ข้าศึกได้ตั้งตัว การฝึกฝนในการใช้อาวุธและยุทโธปกรณ์จนเชี่ยวชาญ ฝึกให้สภาพร่างกายทนทานและคล่องตัว โดยหัวใจหลักของรบพิเศษคือ "กำลังรบขนาดเล็ก ปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และไม่ให้ข้าศึกรู้ตัว"

หน่วยรบพิเศษในโลกนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยในสมัยก่อนจะมีการฝึกกองกำลังพิเศษไว้เพื่อเป็นองค์รักษ์ของพระมหากษัตริย์ และบุคคลสำคัญทั้งในเอเชีย และยุโรป ซึ่งผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะถูกฝึกอย่างหนัก จนเชี่ยวชาญการรบเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะนับถึงหน่วยรบในรูปแบบของการรบพิเศษที่เป็นต้นกำเนิดของการรบพิเศษปัจจุบันแล้วต้องนึกถึงอังกฤษ ฝรั่งเศสและอเมริกา โดยอังกฤษเป็นประเทศแรก ๆ ที่พัฒนาหน่วยรบให้มีทักษะการรบที่แตกต่างจากทหารโดยทั่วไป ใช้การรบที่ให้ทหารมีความคล่องตัวสูง สามารถพรางตัวเข้ากับภูมิประเทศ การโจมตีฉาบฉวย การใช้กับดัก โดยยุคแรก ๆ ที่ทำให้หน่วยรบพิเศษมีชื่อเสียงก็คือสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาก็คือสงครามเวียดนาม

สงครามโลกครั้งที่ 2 มีหน่วยรบพิเศษถือกำเนิดขึ้นหลายหน่วย และสร้างผลงานอันมีชื่อเสียงไว้อีกหลายครั้งโดยอเมริกามีหน่วยพลร่ม(Airborne) เข้าก่อวินาศกรรมทำลายแนวหลังข้าศึกที่หาดนอร์มังดี ในวันดีเดย์(6 มิถุนายน 2487) ซึ่งต่อมาเราก็รู้จักในนามพลร่มที่ 101 และ พลร่มที่ 82 และยังมีมนุษย์กบ( Frogman )เข้าสำรวจและทำลายทุ่นระเบิดหน้าหาดเพื่อเปิดทางให้เรือยกพลขึ้นบก โดยภายหลังได้พัฒนาเป็นหน่วย UDT หรือ SEAL รวมทั้งส่งหน่วยแรนเจอร์( Ranger )เข้าตีบริเวณชายหาดอีกด้วย ส่วนอังกฤษก็ส่งทหารหน่วยคอมมานโด( British Royal Marine Commandos )เข้ามาร่วมรบในครั้งนี้ ซึ่งทางฝ่ายเยอรมันเองก็มีหน่วยทหารรบพิเศษที่เรียกสั้น ๆ ว่า SS ที่ทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงได้มีหน่วยรบพิเศษถือกำเนิดขึ้นมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นจนเป็นกำลังรบหลัก เพื่อใช้ในการรบในยุทธภูมิต่าง ๆ หลายครั้ง แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงได้ไม่นานก็เริ่มมีผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้นในหลายประเทศ มาทั้งในรูปแบบแกงค์โจร ยากูซ่า หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน จึงมีการปรับหน่วยรบพิเศษขึ้นมาเพื่อปราบปรามและทำการรบกับกองกำลังเหล่านี้ หน่วยรบพิเศษจึงถูกปรับรูปแบบให้พัฒนาเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ

สงครามเวียดนามเหล่าชาติตะวันตกทั้งหลายได้รู้ซึ้งถึงยุทธวิธีการรบที่ไร้รูปแบบของทหารเวียดกง กองกำลังจำนวนมากถูกส่งลงไปเพื่อจัดการกับทหารเวียดกงแต่ก็ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนัก เพราะถ้าจะบอกว่ายุทธวิธีของทหารเวียดกงนั้นก็เป็นวิธีการรบแบบรบพิเศษก็คงไม่ผิดนัก เพราะทหารเวียดกงนั้นทำการรบแบบกองโจร ตีฉาบฉวย ใช้กับดัก ซุ่มโจมตี และระเบิดพลีชีพ โดยหลังจากสงครามเวียดนามจบลงทำให้สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและพันธมิตรได้รับบทเรียนราคาแพงของการรบพิเศษ

ปัจจุบันหน่วยรบพิเศษของประเทศมหาอำนาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรบ และการต่อต้านการก่อการร้ายเป็นอย่างมาก โดยอเมริกาเองมีหน่วยรบที่มีชื่ออยู่หลายหน่วยเช่น UDT/SEAL (Underwater Demolition / Sea-Air-LAnd Team: USMC) , US Army Specail Force (Green Berets), Ranger, Delta Force และ Airborn ส่วนอังกฤษก็มีหน่วย SAS (The British Special Air Service Regiment) และเยอรมันมีหน่วย GSG

เรื่องราวของหน่วยรบพิเศษจำนวนมากถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยคอมมานโดหน่วยรบพิเศษที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว(Comandos), ซีลหน่วยทำลายและจู่โจมใต้น้ำ (SEAL), รีคอนหน่วยลาดตระเวนทางน้ำและชายฝั่ง(RECON), แรนเจอร์ทหารราบรบพิเศษผู้ห้าวหาญบุกตะลุยไปข้างหน้า(RANGER), สไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงผู้ปลิดชีพข้าศึกด้วยความเฉียบขาดและรวดเร็ว(Sniper), พลร่มหน่วยรบที่แทรกซึมไปทุกพื้นที่(Airborn)

ปัจจุบันหน่วยรบพิเศษของประเทศมหาอำนาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรบ และการต่อต้านการก่อการร้ายเป็นอย่างมาก โดยอเมริกาเองมีหน่วยรบที่มีชื่ออยู่หลายหน่วยเช่น UDT/SEAL (Underwater Demolition / Sea-Air-LAnd Team: USMC) , US Army Specail Force (Green Berets), Ranger, Delta Force และ Airborn ส่วนอังกฤษก็มีหน่วย SAS (The British Special Air Service Regiment) และเยอรมันมีหน่วย GSG

เรื่องราวของหน่วยรบพิเศษจำนวนมากถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยคอมมานโดหน่วยรบพิเศษที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว(Comandos), ซีลหน่วยทำลายและจู่โจมใต้น้ำ (SEAL), รีคอนหน่วยลาดตระเวนทางน้ำและชายฝั่ง (RECON), แรนเจอร์ทหารราบรบพิเศษผู้ห้าวหาญบุกตะลุยไปข้างหน้า (RANGER), สไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงผู้ปลิดชีพข้าศึกด้วยความเฉียบขาดและรวดเร็ว (Sniper), พลร่มหน่วยรบที่แทรกซึมไปทุกพื้นที่ (Airborn)

หน่วยรบพิเศษของไทย เกิดขึ้นโดยกระทรวงกลาโหมได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกา โดยมีการประชุมหารือกันแล้วเห็นว่ากองทัพเรือควรเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกหน่วยสงครามพิเศษ (ปี 2495) และต่อมากองทัพเรือได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งไปฝึกหลักสูตร UDT/SEAL โดยใช้เวลาประมาณ 60 วัน (ปี 2496) จนกระทั่งปี 2499 จึงได้มีการจัดตั้งหลักสูตรการฝึกและตั้งหน่วยทำลายใต้น้ำขึ้น และได้พัฒนาจนเป็นหน่วยสงครามพิเศษของกองทัพเรือในเวลาต่อมา จึงถือได้ว่ารบพิเศษหน่วยแรกของกองทัพไทยได้ถูกจัดตั้งที่กองทัพเรือ

หน่วย SEAL ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยที่ถูกฝึกหนักที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษด้วยกันเองของทุกเหล่าทัพ เหตุผลก็คือภารกิจที่หน่วย SEAL ได้รับมักจะอันตรายอย่างที่สุดและถูกกดดันทั้งร่างกายและจิตใจมากที่สุดเสมอ

การฝึกของหน่วย SEAL จะกินเวลานานที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษทั่ว ๆ ไป คือกินเวลา ราว ๆ 8 - 11 เดือน ตามแต่เงื่อนไขของการฝึก

ส่วนใหญ่แล้ว การฝึกของหน่วย SEAL จะเน้นความแข็งแกร่งของจิดใจ ซึ่งนักเรียนนักทำลายใต้น้ำจู่โจม (นทต.) จะถูกฝึกให้อดทนต่อแรงกดดันต่าง ๆ จากครูฝึกตลอดเวลา และถูกฝึกให้ปฏิบัติภารกิจที่บางทีแทบไม่ได้กิน ไม่ได้นอนเลย

เมื่อพูดถึงการฝึกของหน่วย SEAL ทุกคนก็ต้องนึกถึง "สัปดาห์นรก" หรือ "Hell Week" ซึ่งทุกคนต้องผ่าน..ถ้าไม่ถอดใจลาออกเสียก่อน

สัปดาห์นรกจะเป็นการฝึก 5 วันต่อเนื่อง 120 ชั่วโมง โดยไม่มีการหยุดพัก ไม่มีการเข้านอน ไม่มีการนั่งพักผ่อน ตลอดเวลา นทต. ต้องอยู่กับท่อนซุง ไม้พาย เสื้อชูชีพ และรับคำสั่งโหด ๆ จากครูฝึกที่เปลี่ยนกันมาฝึกทุกวัน วันละ 3 ชุด ชุดละ 8 ชั่วโมง

กฏการตกของสัปดาห์นรกมี 2 ข้อ

1. เมื่อนทต. ตีระฆังลาออก
2. เมื่อนทต. ต้องพักฝึกเกิน 1 ชั่วโมง

แต่โดยมากแล้ว นทต. จะไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ตีระฆังลาออกสักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากการฝึกจะอยู่ห่างจากระฆังเสมอ ซึ่งก็อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ต้องการให้นทต.จบกันมาก ๆ เพราะหลังจากสัปดาห์นรกแล้วจะไม่สามารถลาออกได้

สัปดาห์นรกของ US Navy SEAL คือสัปดาห์ที่ 13 ส่วนสัปดาห์นรกของ Royal Thai Navy SEAL (RTN) คือสัปดาห์ที่ 11

ในสัปดาห์นรก (Hell Week) มีอะไรบ้าง

ครูฝึกมักเปิดสัปดาห์นรกด้วยการจู่โจมนทต. ซึ่งในช่วงการฝึกนั้นจะมีปัญหาแปลก ๆ ให้นทต.ได้ทรมานกันเล่น ๆ เช่นปัญหากระทะทองเย็น (แช่น้ำทะเลใส่น้ำแข็ง) หรือปัญหาผี (การเฝ้าโลงศพในคืนมืดมิดคนเดียว)

ตลอดการฝึก นทต.จะต้องแบกเรือยางหนักเป็นร้อยกิโล ถือไม้พาย ถือท่อนซุง ทำภารกิจต่าง ๆ ที่ได้รับมาตลอดเวลา ไม่มีการพัก ไม่มีการนอน เพราะจะละเมิดกฏเหล็กคือห้ามพักฝึกเกินกว่า 1 ชั่วโมง

ในช่วงท้าย ๆ ของการฝึก นทต.มันจะอยู่ในสภาพซอมบี้ สติมักจะไม่ค่อยมี เพราะแทบไม่ได้พักเลย หลังจากการฝึกนทต.จำเป็นต้องพักผ่อนมาก ๆ และรัปประทานอาหารอ่อน ๆ ให้ร่างกายได้ฟื้นตัวสักพัก ก่อนกลับมาลุยต่อ

แต่ว่า สัปดาห์นรก ก็ไม่ใช่สัปดาห์ที่หนักที่สุดแต่ประการใด เพียงแต่เป็นสัปดาห์แรกที่นทต.จะต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน เพื่อเตรียมตัวไปสู้กับแรงกดดันที่หนักกว่านี้ในการฝึกที่เหลือ

กลังจากสัปดาห์นรกแล้ว ก็จะเป็นการฝึกยุทธวิธีต่าง ๆ ที่หน่วย SEAL จำเป็นต้องใช้ เช่นวิชาวัตถุระเบิด วิชาการดำน้ำทางยุทธวิธี การฝึกภาคทะเล การฝึกภาคป่า การฝึกดำรงชีวิต (ปล่อยเกาะ 2 วัน หาของกินเอาเอง) รวมถึงการฝึกสุดท้ายคือปัญหา 72 ชัวโมง ซึ่งนทต.จะถูกจับเป็นเชลยและผ่านกระบวนการรีดข่าวสุดโหด สุดท้ายกับปัญหา 120 ชั่วโมงหลังจากถูกจับเป็นเชลยแล้ว

หน่วยซีลของไทยประกอบไปด้วยข้าราชการของกองทัพเรือทั้งชั้นประทวนและชั้นสัญญาบัตรที่สมัครใจเข้ามารับการฝึก โดยหลังจากการฝึกก็จะประจำอยู่ที่หน่วยบัญญาการสงครามพิเศษทางเรือ ส่วนผู้ที่รับการฝึกจากเหล่าทัพอื่นก็จะกลับไปหน่วยต้นสังกัดของตน

ภารกิจของ SEAL ไทยเหมือน ๆ กับหน่วย SEAL ทั่วโลก ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็อาจจะกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในภาคใต้ก็เป็นได้